วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องที่ 2 ความมีวินัยในหน้าที่

เรื่องที่ 2 ความมีวินัยในหน้าที่




ความมีวินัย

        วินัย หมายถึง ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อห้าม ที่บัญญัติไว้เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อความสงบเรียบร้อยดีงามทั้งของตนเองและหมู่คณะ

        บุคคลที่มีวินัยเป็นนิสัยย่อมมีปกติรักการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับข้อห้าม ที่กำหนดไว้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน สถาบันการศึกษา ตลอดจนตามที่สาธารณะต่างๆ รวมทั้งระเบียบปฏิบัติในลักษณะที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี กฏหมายปกครองท้องถิ่นและประเทศ ที่สำคัญคือผู้มีวินัยย่อมสามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์

        ความมีวินัยที่ต้องรีบฝึกให้เป็นนิสัย มีอยู่ 4 ประการ  คือ
        1.ความมีวินัยในการแสดงความเคารพ การรู้จักแสดงความเคารพอย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ ย่อมเป็นเสน่ห์ประจำตัวอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติ

ความมีวินัย นิสัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องรีบฝึก การปลูกกฝังนิสัยด้วย 5 ห้องชีวิต ฉบับทางก้าวหน้า

        2.ความมีวินัยในการรักษาความสะอาด ความสะอาดในที่นี้หมายถถึง การรักษาความสะอาดทั้งร่างกาย เครื่องนุ่งห่มสิ่งของเครื่องใช้และสถานที่ ทั้งที่เป็นของตนเองและผู้อื่นตลอดจนสถานที่สาธารณะที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง การที่ผู้คนในสังคมฝึกนิสัยให้มีวินัยในการักษาความสะอาดดังกล่าวแล้วนอกจากจะทำให้ทั้งผู้คน สิ่งของ สถานที่ และสิ่งแวดล้อมสะอาด น่าดู เป็นที่เจริญตาเจริญใจแล้ว ยังเป็นการป้องกันมิให้เกิดการจับผิดกันขึ้นอีกด้วย
        3.ความมีวินัยในการรักษาความเป็นระเบียบ ความเป็นระเบียบในที่นี้หมายถึง ความมีระเบียบในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เกี่ยวกับ การเงิน การนอน การแต่งกาย การทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ได้แก่ การประกอบอาชีพหรือการศึกษาเล่าเรียน การจัดการเรื่องรายรับและรายจ่าย เรื่องการบริหารร่างกาย และการพักผ่อน เป็นต้น 
        ผู้ที่มีวินัยดีในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ย่อมสามารถวางแผนจัดระเบียบ ในการทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างลงตัว ทำให้ไม่มีปัญหาสับสนวุ่นวาย ย่อมมีอารมณ์ดี สุขภาพและใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคนก็พลอยดีไปด้วย ยิ่งกว่านั้นยังอาจสามารถจัดแบ่งเวลาไว้สำหรับศึกษาและปฏิบัติธรรม เป็นกิจวัตรประจำวันได้อีกด้วย ซึ่งถ้าทำได้เช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่า บรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ว่า “เราเกิดมาสร้างบารมี” แล้วและถ้ามีวิริยะอุสาหะศึกษา และปฏิบัติธรรมมากขึ้นอีกก็จะเป็นการตอกย่ำ ตถาคตโพธิสัทธา ให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น

ความมีวินัย นิสัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องรีบฝึก การปลูกกฝังนิสัยด้วย 5 ห้องชีวิต ฉบับทางก้าวหน้า

        4.ความีวินัยในการตรงต่อเวลา ความตรงต่อเวลาในที่นี้หมายถึง ความตรงต่อเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ทุกๆเรื่อง นับตั้งแต่เรื่องกิจวัตรประจำวันของเราเอง เช่น การกินอาหารแต่ละมื้อเป็นเวลา การเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาการออกจากบ้านไปทำงานหรือไปโรงเรียนและการกลับถึงบ้านเป็นเวลาเป็นต้น นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องความตรงต่อเวลาในการทำภารกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เช่น การเข้าทำงาน และเลิกงานตรงเวลา การเข้าประชุมและเลิกงานตรงเวลา การเข้าประชุมและเลิกประชุมตรงเวลา การไปถึงที่นัดหมายตรงเวลา เป็นต้น
         ผู้ที่ปกติตรงต่อเวลาเป็นนิสัยก็เพราะมีความสำนึกรับผิดชอบ ต่อภารกิจหน้าที่ที่ตนจะต้องกระทำอย่างสูง ดังนั้นบุคคลประเภทนี้จึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง เป็นที่เคารพเชื่อถือไว้วงใจ จากผู้ร่วมงานเป็นอย่างดี และมักจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตนอีกด้วย
        ผู้ที่มีปกติตรงต่อเวลาเป็นนิสัยในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ของตนเอง ย่อมจะมีความตรงต่อเวลาในการทำกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นด้วย ยกเว้นกรณีที่มีเหตุขัดข้องเหลือวิสัยเท่านั้น ดังนั้น เด็กๆทุกคนควรได้รับการฝึกวินัยว่าด้วยความตรงต่อเวลา ในการทำกิจวัตรประจำวันของตนเองให้เกิดเป็นนิสัย เพื่อว่าเขาจะสามารถสร้างวินัยในเรื่องความตรงต่อเวลา เมื่อทำภารกิจต่างๆ นอกบ้านให้เป็นนิสัยด้วย


จากหนังสือ 5 ห้องชีวิต ฉบับทางก้าวหน้า

เรื่องที่ 1 ความมีวินัยในตนเอง



วินัยในตนเอง


วินัยในตนเอง  
 หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมอารมณ์และพฤตกรรมของตนเองให้เป็นไปตามที่ตนมุ่งหวัง โดยเกดจากการสำนึกขึ้นมาเอง ทั้งนี้จะตองไม่กระทําการใดๆ อันจะเกิดความยุ่งยากแก่ตนเองในอนาคต แต่จะต้องกอให้เกิดความเจริญต่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ขัดต่อระเบียบของสังคมและศีลธรรม มีความตั้งใจ และมั่นใจในพฤติกรรมที่แสดงออกมาว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อตนเองและสังคม
IMG_9425
ความสำคัญของการมีวินัยในตนเอง
 1.ถ้าไม่มีวินัยในตนเองชวีตก็จะสับสนยุ่งเหยิง สังคมจะวุ่นวาย ระส่ําระสาย ทําลายโอกาสในการที่จะดําเนินชีวิตที่ดีงามและโอกาสในการพัฒนาตนเองของทุกคน
2.วินันในตนเอง เป็นองค์ประกอบหนึ่งของลักษณะชีวิตที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการประสบความสําเร็จอย่างยั่งยืนในชีวิต เราจะไม่สามารถนําชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงามได้จนกว่าจะตั้งอยู่บนวินัย
วินัยสร้างความรับผิดชอบ
3.วินัยสร้างระเบียบแบบแผน วินัยสร้างคนให้เป็นคนดี วินัยสร้างคนใหเป็นคนเก่ง ดังนั้น วินัยจึงเป็นเรื่องสําคัญ เราจําเป็นต้องสร้างวินัยใหแก่มนุษย์ตั้งแต่เด็ก
4. สำหรับการจัดการศึกษา ความมีจึงเป็นสิ่งงสําคัญที่ครูผู้สอนต้องให้ความสําคัญ ในการส่งเสริมให้เกิดขึ้นในวัยเด็ก ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้นักเรียนเห็นคุณ ค่าของความมีวินัยในตนเอง เพื่อความสุขและความสําเร็จของตนเองและสังคม ดังนนการทำจะใหเกิดวนิัยขึ้นในหมู่คณะ
ไม่ว่าจะเป็นวินัยด้านใด ก็ตามล้วนแต่มีความสําคัญและจําเป็นต่อการอยู่ร่วมกนในสังคม หากแตว่าวินยในตนเองนั้นเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การมีวินัยในสังคมและประเทศชาติต่อไป
IMG_7772
ความจำเป็นที่ต้องมีระเบียบวินัยในตนเอง
1. วินัยช่วยให้ตนเองเป็นผู้ที่มีระเบียบเรียบร้อย
2. วินัยช่วยให้มีความสามัคคีปรองดองในกลุ่มคน
3. วินัยมีส่วนช่วยให้ประสบความสําเร็จในชีวิต
4. วินัยช่วยให้ทุกคนรู้จักควบคุม และปกครองตนเองตามหลักประชาธิปไตย หรือ
มีวินยสำหรับตนเอง
5. ช่วยให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม
ดังนั้นหากเพียรพยายามสร้างระเบียบวินัยในชีวิตของแต่ละคนได้ ท้ายที่สุดเมื่อคนในสังคม คนในประเทศมีลักษณะชีวิตที่มีระเบยบวินัยแล้ว นอกจากตนเองจะก้าวสู่ความสําเร็จแล้ว ยังสามารถพัฒนาสังคมให้มีระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนประเทศชาติให้ทัดเทียมกับอารยประเทศด้วย

เรื่องที่ 3 การแก้ปัญหาความขัดแย้ง

การแก้ปัญหาความขัดแย้ง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง 
ความขัดแย้งคือความรู้สึกของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่มีความคิดเห็นหรือความเข้าใจว่าเป้าหมายหรือผลประโยชน์ของตนเองนั้นถูกขัดขวางสกัดกั้นหรือไม่ลงรอยกัน
Incompatible  Goal ) กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล  องค์กร สังคมหรือระดับประเทศในเกือบทุกหนทุกแห่งได้ใช้สันติวิธีเข้าช่วยคลี่คลายความขัดแย้งมากกว่าการใช้ความรุนแรง เพราะการใช้ความรุนแรงก็เหมือนกับเรากำลังล่อเลี้ยงความโกรธ ความเกลียดความทุกข์ร้อนของทุกฝ่าย สะสมเป็นพลังดันที่แรงขึ้นเรื่อยๆจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงโต้ตอบในที่สุด
                และปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาไม่ว่าจะ
เป็นความขัดแย้งระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง  นักเรียนกับคุณครู  คุณครูกับคุณครูหรือคุณครูกับผู้ปกครอง
ทางโรงเรียนมีวิธีการหรือกระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งโดยใช้หลักการประนีประนอม
 Compromise )โดยเริ่มตั้งแต่
1.วิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยบุคคลกลาง (ครู, นักเรียน, ผู้ปกครอง) เป็นคนที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง
2. บุคคลกลางหรือผู้ที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง เป็นผู้พูดคุยกับทั้ง 2 ฝ่ายถึงสาเหตุทีละคน เพื่อจะได้ เรียนรู้ถึงความเหมือนและความแตกต่างของความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน
        3. บุคคลกลางก็จะคิดพิจารณาถึงลักษณะของข้อขัดแย้ง  สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากอะไร
       4. เมื่อทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแล้ว  ก็จะเรียกบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยพร้อมกัน โดยบุคคล 
         กลางจะเป็นผู้พูดชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นและผลที่จะได้รับเมื่อเกิดความขัดแย้ง 
       5. ให้ทั้ง 2 ฝ่ายพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ใส่ใจรับฟังกันอย่างมีสติ  อดทน ระมัดระวังเรื่องอารมณ์
        ความรู้สึก หรืออาจจะเป็นการเจรจาต่อรอง และสามารถตกลงกันได้โดยการพบกันครึ่งทาง เพื่อให้ได้
         ข้อยุติของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเองและฉันท์มิตร
                  นอกจากการแก้ปัญหาด้วยวิธีการประนีประนอมแล้ว ยังมีวิธีการต่างๆมาจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยจำแนกตามพฤติกรรมเป็นสำคัญซึ่งได้แก่
1.การหลีกเลี่ยง Avoidance ) เป็นการหลบเลี่ยงปัญหา พยายามให้ตนเองหนีไปจากเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามที่จะนำข้อโต้แย้งมาหาตน โดยอาจจะเปลี่ยนประเด็นการสนทนา วิธีนี้จะใช้ได้ดีสำหรับประเด็นที่ไม่ค่อยสำคัญนัก
2. การปรองดอง ( Accommodation )   เป็นวิธีการแก้ปัญหาโดยการยอมเสียสละความต้องการของตนเองเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามบรรลุความต้องการของตนเอง ซึ่งทำให้บรรเทาความขัดแย้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะคู่กรณีที่ได้รับประโยชน์เกิดความพึงพอใจและยุติข้อขัดแย้ง แต่อีกฝ่ายที่เสียประโยชน์ก็จะรอวันที่แก้แค้น

<!--[if !vml]--><!--[endif]-->3. การแข่งขัน ( Competition )เป็นการใช้วิธีเอาแพ้เอาชนะ อาจจะต้องใช้อำนาจหรือแสดงความก้าวร้าวรุนแรงเมื่อมีสิ่งกีดขวางมิให้บรรลุเป้าหมาย  จึงใช้วิธีการที่อาจจะต้องทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองหวังไว้  วิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งวิธีนี้ใช้ได้ผลเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเพียงเวลาสั้นๆ และไม่มีความจำเป็นต้องรักษาสัมพันธภาพในระยะยาว 
           การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการพบหน้ากัน เจรจาและทำความตกลงร่วมกันจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความชำนาญของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องสร้างทักษะที่จำเป็นในการแก้ไขความขัดแย้ง ดังนี้ ความสามารถในการพิจารณาลักษณะของข้อขัดแย้ง,การจำแนกประเด็นของข้อขัดแย้ง,การเริ่มต้นเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้ง,การรับฟัง,การให้เหตุผลและใช้เหตุผล,การรู้จักปฏิกิริยาทางอารมณ์ของผู้อื่นและรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลเสียแต่อย่างเดียว  หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจะพบว่าความขัดแย้งก็มีด้านผลดีที่เป็นประโยชน์หลายด้าน เช่น
1.ทำให้องค์กรไม่หยุดนิ่ง
2.ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทำให้สมาชิกในกลุ่มมีความสามัคคี เกิดความกลมเกลียวกัน
3. ทำให้เกิดความคิดแปลกใหม่

เรื่องที่ 2 การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม


เรื่องที่ 1 สังคมพหุวัฒนธรรม

เรื่องที่ 1
สังคมพหุวัฒนธรรม
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรื่องที่ 1 สังคมพหุวัฒนธรรม

  • สังคมไทย เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เพราะประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาิต ศาสนา และวัฒนธรรม การเรียนรู้ความแตกต่างเพื่อป้องกันความแตกแยก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยพึงปฎิบัติ เพื่อพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าและสงบสุข


  1. อัตลักษณ์ของสังคมพหุวัฒนธรรม อัตลักษณ์ คือสิ่งสะท้อนความเป็นตัวตนของบุคคลหรือสังคมนั้นๆ สังคมพหุวัฒนธรรมมีอัตลักษณ์สำคัญ คือ การอยู่ร่วมกันของผู้คนท่ามกลางความหลากหลายอย่างกลมกลืน ซึ่งความหลากหลายที่ปรากฎในสังคมพหุวัฒนธรรม ได้แก่
    1. เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์
    2. ศาสนา/ความเชื่อ
    3. ภาษา
    4. วิถีการดำเนินชีวิต
    5. ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี จารีต

  • จากความหลากหลายข้างต้น ทำให้สังคมพหุวัฒนธรรมมีความยืดหยุ่นสูง และเกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอย่างกลมกลืน

  1. การเคารพและการยอมรับความหลากหลายในสังคมพหุวัฒนธรรม การอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่าง สมาชิกในสังคมควรเปิดใจให้กว้าง เพื่อยอมรับความแตกต่างที่เกิดขึ้น และพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม มีความระมัดระวังในการกระทำและคำพูด ที่อาจนำมาซึ่งความแตกแยกขัดแย้ง ตลอดจนเคารพในหน้าที่ สิทธิเสรีภาพของกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมไทย จึงควรยึดแนวทางปฎิบัติดังนี้
    1. เรียนรู้ความแตกต่าง
      1. เปิดใจให้กว้าง พร้อมรับสิ่งใหม่
      2. ศึกษาวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา ภาษา ของชนกลุ่มอื่น ผ่านแหล่งความรู้ที่หลากหลาย และควรศึกษา ด้วยใจที่เป็นกลาง ปราศจากอคติ
      3. เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม หรือกิจกรรมที่มีคนจากหลายวัฒนธรรมมาทำกิจกรรมร่วมกัน
    2. ยึดมั่นในขันติธรรม
      1. มีความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง
      2. ปรับวิธีคิดและท่าทีให้เป็นกลาง สอดคล้องกับสภาพสังคมแห่งความหลากหลาย
      3. เคารพและให้เกียรติต่อความแตกต่างของเพื่อนร่วมสังคม โดยไม่เยาะเย้นถากถาง หรือลบหลู่ดูหมิ่น ความเป็นอัตลักษณ์ของกันและกัน
    3. คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน
      1. มีความยุติธรรม ไม่เลือกปฎิบัติหรือให้สิทธิพิเศษเฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
      2. ไม่กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ แก่เพื่อนร่วมสังคม
      3. ปฎิบัติตามหน้าที่ สิทธิ เสรีภาพของตน โดยไม่ไปละเมิดหน้าที่ สิทธิ เสรีภาพของผู้อื่น













เรื่องที่ 1 ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชีย

เรื่องที่ 1 ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชีย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชีย
  ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความหลากหลายด้านสังคมและวัฒนธรรม ใน พ.ศ. ๒๕๕๘ ประเทศต่างๆจะรวมกันเป็นประชาคมอาเซียน ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของประเทศเพื่อนบ้น จะทำให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
  ภูมิภาคอาเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งเป็น ๒ ส่วน ดังนี้
๑.ส่วนที่เป็นผืนแผ่นดิใหญ่ มีภูมิประเทศเป็นทิวเขาใหญ่ๆสลับกับที่ราบลุ่มน้ำ ได้แก่ ประเทศเมียนมา ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย (ตะวันตก)
๒.ส่วนที่เป็นเกาะและเป็นหมู่เกาะ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและที่ราบริมฝั่งทะเล รวมถึงภูเขาไฟ ได้แก่ ประเทศอินโดนิเซีย มาเลเซีย (ตะวันออก) ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และติมอร์-เลสเต

๑ ความหลากหลายของวิถีชีวิต
  ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน รวมทั้งปัจจัยาฃด้านประวัติศาสตร์ จึงส่งผลให้ประชากรมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนี้
๑.พื้นมี่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีความอุดมสมบูรณ์ ประชากรส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา
๒.บริเวณที่ราบชายฝั่งและเกาะ มีการประกอบอาชีพด้านประมงและการท่องเที่ยว
๓.บริเวณที่เขาและที่สูง มีอากาศค่อนข้างเย็น ประชากรอาศัยอยู่เบาบาง มีการปลูกผลไม้เมืองหนาว
๔.บริเวณเมืองใหญ่ มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น และประกอบอาชีพที่หลากหลาย  

๒ ความหลากหลายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  ภุมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชากรในภูมิภาค ดังนี้
๑.ดิน บริเวณที่มีราบลุ่มแม่น้ำต่างๆ เช่น ลุ่มแม่น้ำอิรวดี ลุ่มแม่น้ำแดง มีดินตะกอนน้ำพา มีเนื้อดินเป็นดินเหนียวเหมาะแก่การปลูกข้าว
๒.ป่าไม้ มีป่าดิบที่อุดมสบูรณ์บนเกาะสุมาตรา เกาะเบอร์เนีย และเกาะต่างๆ
๓.น้ำ แหล่งน้ำที่สำคัญ เช่น แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำเจ้าพระยา โตนเลสาบหรือทะเลสาบเขมร แม่น้ำโขง
๔.แร่ น้ำมันและแก๊สธรรมชาติ แหล่งสำคัญ คือ อินโดนิเซีย บรูไน และเมียนมา แร่สำคัญอื่นๆ เช่น ดีบุกมีมากในคาบสมุทรมลยูและในเมียนมา โครเมียนมามีมากในฟิลิปปินส์ เป็นต้น

๓ ความหลากหลายด้านวัฒนธรรม
  ภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติมากที่สุดภูมิภาคหนึ่งของโลกจึงได้ชื่อว่าเป็น "ดินแดนพหุสังคม" ซึ่งมีความแตกต่างด้านความเชื่อ วิถีชีวิต ภาษา ศษสนา ขนธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม

ด้านศาสนา
  ประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับถือศาสนาเหมือนกันและต่างกัน ทำให้มีประเพณีและวัฒนะรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา ได้แก่ ไทย ลาว และกัมพูชา ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาดังนั้น ประเพณีและวัฒนธรรมจึงคล้ายคลึงกัน เช่น การทำบุญตักบาตร การสดมนต์ไหว้พระ เป็นต้น ส่นคนมาเลเซีย บรูไน และอินโดนิเซีย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม จึงมีประเพณีและวัฒนธรรมแบบอิสลาม เป็นต้
ด้านภาษา
  ภาษาพูดและภาษาเขียนของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประเทศท่มีภาษาพูดและภาษาเขียนคล้ายคลึงกันมาก คือ ไทยกับลาว ส่วนชาติอื่นๆก็มีภาษาพูดและภาษาเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น เมียนมา กัมพูชา เป็นต้น นอกจากนี้ในบางประเทศมีการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นภาษาราชการ ได้แก่ สิงคโปค์ และฟิลิปปิน 

ด้านอาหาร
  อาหารที่สำคัญของประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยข้าว พืชผัก และเนื้อสัตว์ที่หาได้ในท้องถิ่น ในแต่ละประเทศมีวัฒนธรรมอาหารมีหลากหลายและคล้ายคลึงกัน เช่น อินโดนิเซียมีแกงมัสมั่นเหมือนไทย เมียนมามีหล่าเผ็ดคล้ายกับเมี่ยงคำของไทย เป็นต้น

ด้านการแต่งกาย
  ประเทศในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้มีชุดพื้นเมืองและชุดประจำชาติที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น ชุดประจำชาติของเวียดนาม เรียกว่า อ่าวหญ่าย มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ชุดประจำชาติของกำพูชา เรียกว่า ซัมปอตหรือผ้านุ่งกัมพูชา มีลักษณะคล้ายผ้านุ่งขงลาวและไทย เป็นต้น 

 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความหลากหลายทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ ทั้งจากสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ รวมทั้งความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ จึงส่งผลให้การดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพแตกต่างกัน การเรียนรู้ความแตกต่างก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถอยูร่วมกันได้อย่างปกติสุข

เรื่องที่ 2 การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ

เรื่องที่ 2 การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ


เรื่องที่ 2

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ
1x42.gif
การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ
        การอยู่ร่วมกันในสังคม สมาชิกทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ ของสังคมร่วมกัน เพื่อการพัฒนาสังคมและการอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ
        สำหรับนักเรียนก็สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ได้เช่นกัน เริ่มจากการมีส่วร่วมในกิจกรรมในโรงเรียน เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนให้เจริญก้าวหน้า
1.การมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจต่อกิจกรรมของห้องเรียนและโรงเรียน
        โรงเรียนเป็นสถานศึกษาที่ให้ความรู้และการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ตัวอย่างกิจกรรมในโรงเรียน เช่น กิจกรรมพัฒนาโรงเรียน กิจกรรมทางวิชาการ เป็นต้น
        การปฎิบัติตนมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการตัดสินใจ ต่อกิจกรรมของห้องเรียน และโรงเรียน
  1. ต้องตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบของตนต่อห้องเรียนและโรงเรียน
  2. สื่อสารด้วยภาษาเชิงบวก สร้างสรรค์ เพื่อความร่วมมือลดการเผชิญหน้า ที่มาจากความขัดแย้ง
  3. แสดงออกต่อกันอย่างกัลยาณมิตร
  4. ยอมรับฟังความคิดเห็น เหตุและผลจากรอบด้าน เพื่อหาแนวทางการทำงาน
  5. ร่วมกันรับผิดชอบผลของการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน
การปฎิบัติตนดังกล่าว ส่งผลให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆมากขึ้น เกิดความรักสามัคคีในหมู่เพื่อนสมาชิกของห้องเรียนและโรงเรียน
2.การตรวจสอบข้อมูล
        การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและการสื่อสาร ทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วจากหลายช่องทาง เช่นสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ อินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลที่นำเสนอนั้นอาจเป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ได้
        ดังนั้นนักเรียนจะต้องมีวิจารณญาณในการเลือกรับ และตรวจสอบข้อมูลจากสื่อต่างๆ เพื่อการรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง
        หลักการตรวจสอบข้อมูล
  1. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล
  2. ตรวจสอบการบันทึกข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน
  3. ตรวจสอบคุณภาพและข้อเท็จจริงของข้อมูล โดยการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายแหล่ง
  4. มีวิจารณญาณในการรับข้อมูล และแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริง ข่าวลือ ข้อมูลที่เล่าต่อๆกันมา
        การตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบจะทำให้ได้ข้อเท็จจริง ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจและสร้างความโปร่งใสในการปฎิบัติงาน

เรื่องที่ 1 การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิประไตย

                                                                                         
                                                                                                      

                 บุคคลจะเป็นพลเมืองดีของสังคมนั้น ต้องตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติ และมุ่งมั่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ สอดคล้องกับหลักธรรม วัฒนธรรมประเพณี และรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ รวมทั้งบทบาททางสังคมที่ตนดำรงอยู่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และได้ประสิทธิผลทั้งในส่วนตนและสังคม เมื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ย่อมเกิดความภาคภูมิใจและเกิดผลดีทั้งต่อตนเองและสังคม ด้วยการเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น มีความกระตือรือร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชุมชนและสังคม มีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างผาสุข 
พลเมืองดี มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ ดังนี้
1. หน้าที่ของพลเมืองดีของสังคม
หน้าที่เป็นภารกิจที่บุคคลต้องกระทำเพื่อสร้างคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาเป็นคนและค่าของคนอยู่ที่การปฏิบัติหน้าที่ โดยมีความรับผิดชอบเป็นหัวใจสำคัญ และต้องสอดคล้องกับบทบาททางสังคมที่แต่ละบุคคลดำรงอยู่ หน้าที่จึงเป็นภารกิจที่จะต้องกระทำเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างมีคุณค่า และเป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งอาจเป็นหน้าที่ตามหลักศีลธรรม กฎหมาย หรือจิตสำนึกที่ถูกต้องเหมาะสม หน้าที่ที่เป็นภารกิจของพลเมืองดีโดยทั่วไปพึงปฏิบัติ มีดังนี้
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามหลักธรรม
การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามหลักธรรม เป็นหน้าที่ของพลเมืองดีพึงปฏิบัติ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 
1.
 จริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม
จริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม เป็นคำที่มักใช้ปะปนกัน หากจะพิจารณาความหมายของคำศัพท์ที่นำมาประกอบกันเป็นคำเหล่านี้ พอจะแยกได้ ดังนี้
จริย กริยาที่ควรประพฤติ
คุณ ดี มีประโยชน์
 
ศีล การประพฤติปฏิบัติดีตามปกติวิสัย
จริยธรรม
คุณธรรม
ศีลธรรม
หลักการของกิริยาที่ควร ประพฤติทำให้สังคมอยู่ด้วยกันโดยสงบ
หลักการที่ดีมีประโยชน์ที่สังคมเห็นว่าเป็นความดีความงาม
ความเป็นปกติหรือการรักษากาย วาจา ใจให้เป็นปกติ ไม่ทำชั่วหรือเบียดเบียนผู้อื่น
เช่น - อยู่ในระเบียบวินัย - ตรงต่อเวลา
- มีความรับผิดชอบ - ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
 
- ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย
เช่น - ซื่อสัตย์ - สุจริต
- มีเมตตา - เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
- เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
เช่น - ห้ามพูดเท็จ ให้พูดแต่ความจริง
- ห้ามเสพของมึนเมา ให้มีสติอยู่เสมอ
- ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ให้มีความเมตตากรุณา

สรุป 
จริยธรรม หมายถึง หลักในการประพฤติปฏิบัติที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย
 
คุณธรรม หมายถึง หลักในการประพฤติปฏิบัติที่สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น
ศีลธรรม หมายถึง หลักในการประพฤติปฏิบัติที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย พร้อมกันนั้นก็สร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย
 

ความสำคัญของจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม
 มนุษย์นับว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า และมีความสำคัญมากที่สุดในโลก เพราะมนุษย์เป็นทรัพยากรที่สามารถเรียนรู้และรับการฝึกอบรมสั่งสอน จนสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อโลกได้ ในการเรียนรู้และการฝึกอบรมเพื่อสะสมประสบการณ์ชีวิต มนุษย์ควรได้รับการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมไปด้วยพร้อม ๆ กัน เพราะคุณธรรมจริยธรรมมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างมาก อาจสรุปความสำคัญของคุณธรรมและจริยธรรมได้ดังนี้ คือ 
1. ช่วยให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสงบสุข ไม่พบอุปสรรค2. ช่วยให้คนเรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ไม่เผลอตัว ไม่ลืมตัว จะประพฤติปฏิบัติในสิ่งใดก็จะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ3. ช่วยสร้างความมีระเบียบวินัยให้แก่บุคคลในชาติ4. ช่วยควบคุมไม่ให้คนชั่วมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น นับว่าเป็นคุณแก่สังคม เพราะนอกจากจะเป็นตัวอย่างโดยการชี้นำทางอ้อมแล้ว ยังจะออกปากแนะนำสั่งสอนโดยตรงได้อีกด้วย5. ช่วยให้มนุษย์นำความรู้และประสบการณ์ ที่ร่ำเรียนมาสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่า6. ช่วยควบคุมการเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจของคนให้เจริญไปพร้อม ๆ กัน7. ช่วยสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้มนุษย์
ความสำคัญของคุณธรรม และจริยธรรมที่กล่าวมานี้ ประเด็นที่สำคัญก็คือ สามารถลดปัญหา และขจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคล สังคม และประเทศชาติได้ เมื่อทุกคนประพฤติปฏิบัติตนดีแล้ว อุปสรรค ศัตรู ภัยอันทราย ก็จะหมดสิ้นไป ผู้คนมีแต่ความรักต่อกัน สังคมมีแต่ความสงบ และประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง

ลักษณะของจริยธรรม คุณธรรม
 
คุณธรรมและจริยธรรม คือ สิ่งที่เป็นความดีควรประพฤติปฏิบัติ เพราะจะนำความสุข ความเจริญ ความมั่นคงมาสู่ประเทศชาติ สังคม และบุคคล คุณธรรมจริยธรรมที่สำคัญ ๆ มีดังต่อไปนี้ 
1. ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประเทศชาติ นับว่ามีพระคุณอย่างมหาศาล เพราะเป็นสถานที่ ที่เราทุกคนอยู่อาศัยอย่างผาสุกตั้งแต่เกิดจนตาย ให้เราได้ประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิต ให้เราได้ภาคภูมิใจในเกียรติและศักดิ์ศรีที่มีชาติเป็นของตนเอง ไม่เป็นทาสใคร เราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อชาติ รักและหวงแหน ยอมสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อให้ชาติเป็นเอกสารสืบไป ป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาทำลาย ปกป้องชื่อเสียงไม่ให้ใครมาดูแคลน และประพฤติตนให้ถูกต้องตามกฎหมาย และขนบธรรมเนียม ประเพณีของชาติบ้านเมือง ศาสนา เป็นที่พึ่งทางกายและทางจิตใจ ทำให้มนุษย์ดำรงชีพร่วมกันในสังคมอย่างมีสันติสุข เรามีหน้าที่ทำนุบำรุงพระศาสนาให้มั่นคงสถาพรสืบต่อไป ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา สร้างและบูรณะ ศาสนาสถาน ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิจ ประพฤติต่อผู้อื่นด้วยความสุจริตทั้ง กาย วาจา และใจ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นศูนย์รวมของชาวไทยทั้งประเทศ พระองค์ทรงเป็นผู้นำและผู้ปกป้องชาติและศาสนา ทรงบำบัดทุกข์และบำรุงสุข ให้แก่ราษฎรด้วยความเสียสละในทุก ๆ ด้าน เราต้องเทิดทูนพระองค์ไว้สูงสุด รับใช้สนองพระมหากรุณาธิคุณอย่างเต็มความสามารถ ประพฤติตนเป็นคนดีไม่เป็นภาระแก่พระองค์ และถ้ามีความจะเป็นแม้ชีวิตของเราเองก็สามารถจะถวายพลีชีพได้ เพื่อความเป็นปึกแผ่น และยั่งยืนของสถาบันพระมหากษัตริย์ 
2. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หมายถึง การปฏิบัติกิจการงานของตนเอง และที่ได้รับมอบหมายด้วยความมานะพยายาม อุทิศกำลังกาย กำลังใจอย่างเต็มความสามารถ ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยจนงานประสบความสำเร็จตรงตามเวลา บังเกิดผลดีต่อตนเองและส่วนรวม ทั้งนี้รวมไปถึงการรับผิดเมื่องานล้มเหลว พยายามแก้ไขปัญหาและอุปสรรคโดยไม่เกี่ยงงอนผู้อื่น 
3. ความมีระเบียบวินัย หมายถึง การเป็นผู้รู้และปฏิบัติตามแบบแผนที่ตนเอง ครอบครัว และสังคมกำหนดไว้ โดยที่จะปฏิเสธไม่รับรู้กฎเกณฑ์หรือกตาต่าง ๆ ของสังคมไม่ได้ คุณธรรมข้อนี้ต้องใช้เวลาปลูกฝังเป็นเวลานาน และต้องปฏิบัติสม่ำเสมอจนกว่าจะปฏิบัติเองได้ และเกิดความเคยชิน การมีระเบียบวินัยช่วยให้สังคมสงบสุขบ้านเมืองมีความเรียบร้อย เจริญรุ่งเรือง 
4. ความซื่อสัตย์ หมายถึง การปฏิบัติตน ทางกาย วาจา จิตใจ ที่ตรงไปตรงมา ไม่แสดงความคดโกงไม่หลอกลวง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ลั่นวาจาว่าจะทำงานสิ่งใดก็ต้องทำให้สำเร็จเป็นอย่างดี ไม่กลับกลอก มีความจริงใจต่อทุกคน จนเป็นที่ไว้วางใจของคนทุกคน5. ความเสียสละ หมายถึง การปฏิบัติตนโดยอุทิศกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังปัญญา เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมด้วยความตั้งใจจริง มีเจตนาที่บริสุทธิ์ คุณธรรมด้านนี้เป็นการสะสมบารมีให้แก่ตนเอง ทำให้มีคนรักใคร่ไว้วางใจ เป็นที่ยกย่องของสังคม ผู้คนเคารพนับถือ 
6. ความอดทน หมายถึง ความเป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคใด ๆ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้บังเกิดผลดีโดยไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความอดทนมี 4 ลักษณะ คือ 
- อดทนต่อความยากลำบาก เจ็บป่วย ได้รับทุกขเวทนาก็ไม่แสดงอาการจนเกินกว่าเหตุ
 
- อดทนต่อการตรากตรำทำงาน ไม่ทอดทิ้งงาน ฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบผลสำเร็จ
 
- อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่แสดงความโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาท อดทนต่อคำเสียดสี
 
- อดทนต่อกิเลส คือ ไม่อยากได้ของผู้อื่นจนเกิดทุกข์ ไม่ตอบโต้คนอื่นที่ทำให้เราโกรธ และไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่จะพาเราไปพบกับความเสียหาย
7. การไม่ทำบาป หมายถึง การงดเว้นพฤติกรรมที่ชั่วร้าย สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเพราะเป็นเรื่องเศร้าหมองของจิตใจ ควรงดเว้นพฤติกรรมชั่วร้าย 3 ทาง คือ 
- ทางกาย เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทุจริต ไม่ลักขโมย ไม่ผิดประเวณี
 
- ทางวาจา เช่น ไม่โกหก ไม่กล่าวถ้วยคำหยาบคาย ไม่ใส่ร้าย ไม่พูดเพ้อเจ้อ
- ทางใจ เช่น ไม่คิดเนรคุณ ไม่คิดอาฆาต ไม่คิดอยากได้
 
8. ความสามัคคี หมายถึง การที่ทุกคนมีความพร้อมกาย พร้อมใจ และพร้อมความคิดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายที่จะปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ โดยไม่มีการเกี่ยงงอนหรือคิดชิงดีชิงเด่นกัน ทุกคนมุ่งที่จะให้สังคมและประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง มีความรักใคร่กลมเกลียวกันด้วยความจริงใจ ความไม่เห็นแก่ตัว การวางตนเสมอต้นเสมอปลายก็หมายถึงความสามัคคีด้วย

แบบทดสอบที่ 1

กำลังโหลด...